Page 268 - thaipaat_Stou_2563
P. 268
งานประชุมวิชาการรัฐประศาสนศาสตร์ระดับชาติ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓
ความเข้าใจของบุคคลที่มีต่อการเมืองนั้นมีความส าคัญอย่างยิ่งต่อการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองของบุคคล
นั้นๆไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การอภิปรายถกเถียงปัญหาทางการเมือง
เป็นต้น โดยมีความสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีการมีส่วนร่วมทางการเมืองมาใช้ในการอภิปรายผลถึงระดับ
ความเข้าใจในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของนักศึกษาถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมในการท ากิจกรรมทางการเมือง และ
สอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับกฎหมายการเลือกตั้ง โดยที่นักศึกษาจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับ
กฎระเบียบ กติกา หรือข้อบังคับในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้อย่างถูกต้อง แม่นย า และตามพระราชบัญญัติแห่ง
กฎหมายการเลือกตั้ง ประชาชนทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎ กติกา การเลือกตั้ง รวมถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมใน
การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
ั
ั
นอกจากนี้ผลการศึกษายังสื่อไปถึงการพฒนาประชาธิปไตยและการพฒนาทางการเมือง โดยที่
นักศึกษาหรือประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีความเข้าใจเกี่ยวกับการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และมี
แนวโน้มที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยเฉพาะการเลือกตั้งมากขึ้น และสามารถที่จะท าให้ประชาธิปไตย
ั
ั
และระบบการเมืองพฒนาขึ้นได้ เนื่องจากว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นเป้าหมายส าคัญของการพฒนา
ระบบการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย ทั้งนี้เพราะการมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นตัวชี้วัดที่ส าคัญประการหนึ่ง
ของระบอบประชาธิปไตย สังคมใดจะมีระดับความเป็นประชาธิปไตยสูงหรือต่ าจะต้องพิจารณาจากระดับการมี
ส่วนร่วมทางการเมือง โดยสังคมที่ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองสูง สังคมนั้นก็จะเป็นสังคมที่มีระดับความ
เป็นประชาธิปไตยสูงตามไปด้วยซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในเรื่องของการพัฒนาประชาธิปไตยกับการพัฒนาทาง
การเมือง และผลการศึกษายังมีความสอดคล้องกับงานวิจัยของ วัฒนิกา ศิลปะกุล (2550, น.117) ที่ศึกษา
เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชนในการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตาม
เจตนารมณ์ของธรรมนูญที่ต้องการให้การเมืองเป็นของพลเมือง และงานวิจัยของ วัฒนิกา ศิลปะกุล โดยพบว่า
ั
กลุ่มวัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่ได้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของการพฒนาการ และมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย
ผ่านการใช้สิทธิเลือกตั้งที่กลุ่มคนรุ่นใหม่เริ่มที่จะให้ความสนใจและเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วน
ส าคัญในการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้กับระบอบประชาธิปไตยของไทย
ควำมเข้ำใจที่มีต่อกำรไปใช้สิทธิเลือกตั้งของนักศึกษำ
การศึกษาความเข้าใจเกี่ยวกับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปี 2562 วิเคราะห์
ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ความถี่ (Frequency) และค่าร้อยละ (Percentage)
สามารถอภิปรายผลได้ว่า ความเข้าใจในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพบูลสงคราม
ิ
อยู่ในระดับน้อยที่สุด (ค่าเฉลี่ย 1.74) แสดงให้เห็นว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามมีความเข้าใจ
ในเรื่องของการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อยู่ในระดับที่น้อยมาก เนื่องจากว่าในการท า
่
แบบสอบถามมีทั้งนักศึกษาที่อานค าถามแล้วคิดวิเคราะห์ก่อนลงมือท าแบบสอบถาม และนักศึกษาที่ไม่อาน
่
่
ี
ค าถามหรืออานแบบผ่านๆแล้วท าแบบสอบถาม (กาดิ่งลงมาแบบมั่วๆ) อกประการหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า
แบบสอบถามที่ทางคณะผู้วิจัยได้ท าการคิดขึ้นมาอาจจะไม่ครอบคลุมในเรื่องของการไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง
ได้ทั้งหมด จากผลการศึกษาได้มีความสอดคล้องกับหลักแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการพฒนาประชาธิปไตย โดย
ั
พบว่านักศึกษายังขาดความเข้าใจในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งบวกกับประสบการณ์ในการไปให้สิทธิเลือกตั้งของ
นักศึกษายังน้อยเพราะเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกของนักศึกษาส่วนใหญ่ จึงท าให้นักศึกษายังขาดความเข้าใจใน
ึ
ระบอบประชาธิปไตยอยู่มาก จ าเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาให้นักศกษาได้เข้าใจในการมีส่วนร่วมทางการเมืองให้
ิ่
ื่
มากขึ้น เพอเพมความเข้าใจให้กับนักศึกษา รวมถึงความเข้าใจในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของนักศึกษา
ื่
ิ
มหาวิทยาลัยราชภัฏพบูลสงครามจึงมีความสอดคล้องกับแนวคิดการพฒนาทางการเมือง เพอให้การเมืองมี
ั
266