Page 113 - Microsoft Word - PAAT Journal V5-2021-awt-v2
P. 113

PAAT Journal Vol. 3 No. 5, June 2021

                    (Stone, 1997) ได้นํามาเขียนขยายประเด็นความขัดแย้งของค่านิยมที่องค์การรัฐต้องสามารถทําให้สําเร็จไป

                    พร้อม ๆ กัน แต่พบว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่งในการตัดสินใจนโยบายสาธารณะทุกเรื่อง


                              ในบทที่สี่ ซึ่งเป็นบทสุดท้ายของงานชิ้นนี้ สะท้อนให้เห็นประเด็นพื้นฐานอีกประเด็นสําหรับ
                    ผู้เขียนมองว่าสําคัญและได้ตอกย้ําในการสอนวิชาองค์การสาธารณะตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับ

                    สังคมในปัจจุบันที่ขาดความเข้าใจที่ชัดเจนและต่อเนื่องกันระหว่างสองคํานี้ คือ “อํานาจหน้าที่” และ “ความ
                    รับผิดชอบ” ซึ่งในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ.2560 เปลี่ยนไปใช้คําว่า
                    “หน้าที่และอํานาจ” แทนคําว่า “อํานาจหน้าที่” ด้วยมองว่าจะต้องมีภารกิจหน้าที่รับผิดชอบก่อน กล่าวคือ

                    จะต้องได้รับการแต่งตั้ง/เลือกตั้งให้ครองตําแหน่งใดหนึ่งก่อน ซึ่งในแต่ละตําแหน่งจะได้รับอํานาจที่ถูกต้องตาม
                    กฎหมายให้กระทําการสิ่งใดได้บ้างตามที่ระบุไว้สําหรับตําแหน่งนั้น ๆ สําหรับผู้ที่ศึกษาองค์การสาธารณะนั้น

                    ทั้งสองคํามีความสําคัญอย่างยิ่งและเป็นฐานให้คิดต่อเนื่องไปถึง “ความสามารถรับผิดชอบได้ หรือความพร้อม
                                        20
                    รับผิด” (Accountability)

                              อํานาจหน้าที่ ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและลูกน้องในองค์การที่จํากัดด้วยสัญญา
                    ไม่ใช่ข้อตกลงเจรจาผ่านกลไกราคาของตลาด ซึ่งจะมีข้อจํากัดในการใช้อํานาจตามหน้าที่นั้น ๆ เพื่อถ่วงดุลและ

                    ตรวจสอบไม่ให้มีการใช้อํานาจเกิดขอบเขตหน้าที่ที่รับผิดชอบระบุไว้ในกฎหมายนั้น ๆ ในบทนี้ เคนเน็ธ
                    แอร์โรว์ ได้กล่าวถึงเรื่องสําคัญของอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบใน 5 ประเด็น กล่าวคือ ประการแรก

                    อํานาจหน้าที่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและความจําเป็นต้องกําหนดให้ชัดเจนในองค์การทุกองค์การโดยเฉพาะองค์การ
                    ขนาดสาธารณะขนาดใหญ่ เพื่อประโยชน์ในการลดความขัดแย้งในการประสานการทํางานระหว่างกิจกรรมต่าง
                    ๆ ของสมาชิกในองค์การ นอกจากนี้ ประการที่สอง หากมองจากทัศนะทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ยังช่วยลด

                    ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการประมวลข้อมูลจากช่องทางการสื่อสารที่มาจากหลายทิศทาง แตกต่างกัน ซึ่งเท่ากับ
                    เป็นการช่วยให้การทํางานมีประสิทธิภาพกว่าการทํางานในสภาวะที่ปราศจากความชัดเจนว่าจะต้องทําอะไร

                    อย่างไรภายใต้เงื่อนไขใดได้บ้าง ในประเด็นนี้เคนเน็ธ แอร์โรว์ยกตัวอย่างของการใช้เครื่องหมายสัญญาณจราจร
                    แทนการใช้อํานาจโดยตํารวจจราจรเพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน ลดการเจรจาต่อรอง เกิดประสิทธิภาพในการ

                    ประสานระหว่างผู้ใช้ถนนทุกฝ่าย และรวมถึงผู้บังคับใช้กฎหมายด้วย ตัวอย่างที่เห็นชัดมาจากการใช้อํานาจใน
                    การทํางานของทหารในระดับล่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งของการปฏิบัติงานในสนามรบ นําไปสู่ประเด็นที่สามว่าจะ

                    ทําอย่างไรให้คนเชื่อฟังอํานาจหน้าที่เหล่านี้ ซึ่งในทางการบริหารงานทุกองค์การที่พบเห็นทั่วไป ออกนโยบาย
                    กําหนดให้รางวัลแก่ผู้ที่เชื่อฟังปฏิบัติตาม และพร้อมกับกําหนดบทลงโทษสําหรับผู้ที่ฝ่าฝืนคําสั่งของ
                    ผู้บังคับบัญชาไว้ อันอาจจะนําไปสู่ประเด็นคําถามว่า “แล้วใครจะควบคุมคนที่ออกคําสั่งที่ใช้อํานาจเกินเลย

                    กว่าที่กําหนดได้?” ในประเด็นนี้ จากตัวอย่างของการใช้เครื่องหมายสัญญาณจราจรมาทดแทนการใช้อํานาจสั่ง
                    การของบุคคลจากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นจึงเป็นทางออกหรือมาตรการที่เพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานและ



                    20  สามารถค้นคว้าอ่านเพิ่มเติมจากงานเขียนของผู้เขียนที่ได้ทํามาตั้งแต่เริ่มนําแนวคิดนี้เข้าไปรับใช้ในการปฏิรูปประเทศไทย
                    ในช่วง 2542 ถึงปี 2555 และงานวิจัยที่ทําร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละประเด็นของหลักธรรมาภิบาลหรือที่เรียกว่า การ
                    บริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี
                                                        106                    สมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
   108   109   110   111   112   113   114   115   116   117   118