Page 112 - Microsoft Word - PAAT Journal V5-2021-awt-v2
P. 112
PAAT Journal Vol. 3 No. 5, June 2021
บทที่สาม จากประเด็นเรื่องข้อมูลที่แต่ละคนต้องเลือกและประมวลผลใช้ในการตัดสินใจสุดท้าย
(terminal acts) หรือจะลองดูเก็บข้อมูลต่อไป (experiment) ทังนี้ เคนเน็ธมองลึกต่อไปอีกว่า การเลือกจะทํา
อย่างไรนั้นเป็นไปได้ สามทางคือ ว่าจะดําเนินการลงมือในเชิงรุก (active) ซึ่งหมายถึงได้ทําการทดลองเก็บ
ข้อมูลมาแล้ว ได้รับสัญญาณชัดเจนให้ตัดสินใจลงมือทําอย่างแน่นอน แต่ในทางหนึ่ง อาจเลือกชะลอการ
ตัดสินใจไว้ก่อน เพื่อจะติดตามหาข้อมูลเพิ่มเติม (monitor) ก่อนที่จะนําไปสู่การตัดสินใจสุดท้าย หรืออาจจะ
ไม่ทําอะไรเลยในที่สุดก็เป็นได้ (passive) ในบทนี้จะเห็นความสําคัญของข้อมูลที่บุคคลต้องใช้ประกอบการ
ตัดสินใจ ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนใจได้ หากรู้แน่ชัดจากการชั่งน้ําหนักระหว่างผลประโยชน์ที่จะได้รับ (benefits)
กับค่าใช้จ่าย (costs) สําหรับการลงทุนหาข้อมูลเพิ่มไม่คุ้มค่ากัน ซึ่งอาจจะเกิดจากการคิดทึกทักเอาเองว่าไม่
น่าสนใจ ไม่ได้รับประโยชน์ควรค่าแก่การลงมือดําเนินการแต่อย่างใดต่อไปอีกแล้วนั่นเอง (Arrow, 1974: 47-
52)
ในบทที่สามนี้เอง ทําให้องค์การเข้ามามีบทบาทในการชดเชยความบกพร่อง ความไม่สมบูรณ์
ของแต่ละคนในการจัดการข้อมูล องค์การจึงเป็นทางเลือกที่ดีสําหรับแต่ละคน เพราะองค์การที่ประกอบขึ้นมา
จากคนหลายคน ร่วมกันมากระทํากิจกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเองบางอย่างและขณะเดียวกันทําให้
องค์การอยู่รอดได้ แต่ละคนได้ค้นหาข้อมูลได้มารวมไว้ที่องค์การผ่านระบบการลงสัญญะในรูปแบบต่าง ๆ ให้
เกิดความเชี่ยวชาญด้วยความถนัดของแต่ละคนในแต่ละด้านและความสนใจ ส่งผลให้องค์การลงทุนเสีย
ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าคน ๆ เดียวทํา (The economies of information) ในการจัดระบบข้อมูลในอยู่ในรหัส
เดียวกัน (coding) ซึ่งในทางการบริหารนั้นเรียกว่าเป็นการประสานการสื่อสารข้อมูล (information
coordination) นําไปสู่การทํางานที่ให้ผลลัพธ์ออกมามากกว่าเพียงคนแต่ละคนทํา ในทัศนะทางเศรษฐศาสตร์
เองมองว่าการประสานงานส่งต่อข้อมูลผ่านหลายช่องและหลายคนมากขึ้น อาจจะลดคุณค่าของข้อมูล มีการ
บิดเบือนข้อมูล จึงต้องมีการจัดบริการ วางระบบการบริหารข้อมูลเพื่อการตัดสินใจให้มีประสิทธิภาพด้วย
ค่าใช้จ่ายที่น้อยหรือถูกที่สุด แต่ด้วยการที่เน้นความมีประสิทธิภาพนี้อาจจะลดทอนหรือตัดข้อมูลบางอย่าง
ออกไป ซึ่งข้อมูลที่ถูกตัดออกไปในตอนนั้นอาจจะมีคุณค่ามาในภายหลังได้ แต่ด้วยข้อจํากัดขององค์การในการ
วางระบบข้อมูลเพื่อการตัดสินใจไปแล้วทําให้ไม่สามารถปรับตัวหรือให้มีความยืดหยุ่นพอที่จะรองรับการใช้งาน
ของข้อมูลใหม่ ๆ นี้ได้อีก จึงได้เกิดปรากฏการณ์การสร้าง ออกแบบโครงสร้างใหม่หรือขยายกิจกรรมของ
องค์การออกมาอยู่บ่อยครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อรองรับภารกิจที่แตกงอกออกมาโดยที่โครงสร้างองค์การ
เดิมไม่อาจปรับตามได้ทัน (Arrow, 1974: 53:59)
ในแง่นี้ จะได้เห็นบทบาทความชัดเจนของการที่ต้องจัดตั้งองค์การ เป้าหมายการเกิดขึ้นของ
องค์การสาธารณะที่รัฐต้องดูแลและจัดระบบการทํางานภายใน เพื่อมุ่งหวังให้เกิดการบริการที่มีประสิทธิภาพ
หากคิดต่อยอดคือ องค์การสาธารณะมีภารกิจเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา ในการส่งมอบการบริการของรัฐให้ถึงมือ
ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม ซึ่งเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ เคนเน็ธ แอร์โรว์ได้พยายามให้เห็นความ
ขัดแย้งในการทํางานขององค์การสาธารณะที่ต้องบริหารให้สมดุล ซึ่งประเด็นนี้ยังเป็นข้อถกเถียงหนึ่งที่
105 สมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย