Page 114 - thaipaat_Stou_2563
P. 114
งานประชุมวิชาการรัฐประศาสนศาสตร์ระดับชาติ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓
ุ
การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพผ่านโครงการอบลโมเดล เริ่มต้นจากภาคเอกชนคือ กลุ่ม
ั
บริษัทไบโอเอทานอลโดยอาศัยความร่วมมือกับภาครัฐ คือ กรมพฒนาที่ดิน กรมวิชาการเกษตร และ
กรมส่งเสริมการเกษตร และกลุ่มเกษตรในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ด าเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557
ื่
นับเป็นการบูรณาการเพอส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมการปลูกมันส าปะหลัง โดยทุกภาคส่วนได้ร่วมกัน
ั
ื
คิดค้นวิจัยพฒนาพนธุ์มันส าปะหลัง และส่งเสริมถ่ายทอดความรู้ เช่น ปรับปรุงพนธุ์พช ปรังปรุงคุณภาพดิน
ั
ั
ั
ปรับปรุงช่วงเวลาเพาะปลูก พฒนาเครื่องจักรในการผลิต รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าใจเรื่องต้นทุนการรับ
ซื้อและการแปรรูป (มูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย, 2559) โดยใช้หลักคิด 3 ด้านคือ “ดิน
ดี รายได้ดี สุขภาพดี” ดินดี คือ การไม่ใช้สารเคมีจะส่งผลให้ดินกลับมาอดมสมบูรณ์ รายได้ดี คือ สร้าง
ุ
มูลค่าเพมให้ทั้งผู้ผลิตและตลาด เนื่องจากเกษตรกรได้รับการประกันราคา ท าให้มีรายได้แน่นอนและเพมขึ้น
ิ่
ิ่
จากการปลูกแบบทั่วไป สุขภาพดี คือ ผู้ผลิตและผู้บริโภคมั่นใจในกระบวนการผลิตที่ปราศจากสารเคมี
ปนเปื้อนในอาหาร อีกทั้งเกษตรกรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีก็ยิ่งส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย
เมื่อเปรียบเทียบด้านการตลาดระหว่างการผลิตมันส าปะหลังในระบบดั้งเดิมและระบบอนทรีย์พบว่า
ิ
ในระบบอนทรีย์เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยทั้งหมด 13,500 บาทต่อไร่ รายได้สุทธิเท่ากับ 2,575 บาทต่อไร่ มี
ิ
ก าไรอยู่ที่ 1,565 บาทต่อไร่ หรือ 0.35 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิต 11,935 บาทต่อไร่ คิดเป็นต้นทุน
2.65 บาทต่อกิโลกรัม ได้ก าไร 0.35 บาทต่อกิโลกรัม (ราคาขาย 3 บาท ที่ปริมาณแป้งร้อยละ 25) ส่วนการ
ผลิตในระบบเคมี เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยทั้งหมด 9,000 บาทต่อไร่ รายได้สุทธิเท่ากับ 1,600 บาทต่อไร่ มี
ก าไรอยู่ที่ 590 บาทต่อไร่ หรือ 0.13 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิต 8,410 บาทต่อไร่ คิดเป็น 1.87 บาท
ต่อกิโลกรัม ได้ก าไรเพยง 0.13 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วต้นทุนของการปลูกมัน
ี
ส าปะหลังอนทรีย์จะสูงการการปลูกมันส าปะหลังทั่วไป แต่ผลผลิตมันส าปะหลังอนทรีย์ได้รับการยอมรับใน
ิ
ิ
มาตรฐานการผลิตมากกว่า จึงมีราคารับซื้อสูงกว่าและโอกาสทางการตลาดจึงสูงกว่า โดยเฉพาะตลาดในตาง
ประเทศ เช่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกา (โสภิตา สมคิด และคณะ, 2561)
เมื่อเกษตรกรท าตามกระบวนการที่ก าหนดไว้อย่างถูกต้อง กระทั่งเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายคือ การตรวจ
14
15
13
รับรองมาตรฐานต่าง ๆ ได้แก่ มาตรฐานของ USDA Organic Organic Thailand หรือ EU Organic
นั่นหมายถึงเกษตรกรสามารถด าเนินการผลิตได้ตามเป้าหมาย ผลผลิตอาจสูงถึง 4.5 ตันต่อไร่ ซึ่งสูงกว่า
ค่าเฉลี่ยของประเทศคือ 3.5 ตันต่อไร่ (บางรายได้ผลผลิตสูงถึง 7.63 ตันต่อไร่ และอาจมีปริมาณแป้งสูงถึง
ร้อยละ 27 -31) (ประชาชาติ, 2561) ในการตรวจรับรองมาตรฐานนี้จะมีต้นทุนเพมขึ้นอก 3.20 บาทต่อ
ิ่
ี
กิโลกรัม บริษัทเอกชนจะเป็นผู้แบกรับต้นทุน และท าให้บริษัทเอกชนขาดทุนในส่วนการผลิตแป้งมันส าปะหลัง
ในช่วงระยะแรก แต่ในระยะยาวบริษัทก็คาดหวังให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตและสภาพแวดล้อมดีขึ้น และมี
ื่
แนวโน้มที่จะพฒนาเทคโนโลยีเพอปรับปรุงการผลิตให้ต้นทุนลดลงกว่าเดิม รวมถึงคาดหวังว่ารัฐบาลจะมี
ั
นโยบายที่ชัดเจนมากขึ้นและเข้ามาสนับสนุน แบ่งเบาภาระเรื่องค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการ เพอให้เกิดความ
ื่
ยั่งยืนในด้านการส่งออกของตลาดมันส าปะหลัง (โสภิตา สมคิด และคณะ, 2561)
จากที่กล่าวมา บทความนี้ต้องการจะศึกษาว่า “ปัจจัยใดที่มีผลต่อการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ
ชีวภาพสู่การปฏิบัติของจังหวัดอุบลราชธานี ในกรณีการปลูกมันส าปะหลัง” ผู้วิจัยเห็นว่าผลการศึกษาดังกล่าว
นี้จะช่วยเป็นแนวทางให้หน่วยงานที่มีส่วนในการขับเคลื่อนนโยบายมองภาพของการน านโยบายไปปฏิบัติได้
13 USDA Organic เป็นตรารับรองอาหารและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของสหรัฐอเมริกา โดยกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (United States
Department of Agriculture: USDA) ได้ก าหนดมาตรฐานในการปิดฉลากสินค้าออร์แกนิคจากที่ต่าง ๆ ที่น าเข้าในประเทศ
14 Organic Thailand เป็นเครื่องหมายรับรองปัจจัยการผลิต แหล่งการผลิต หรือผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยตรวจ
รับรองเฉพาะหน่วยงาน (Certification Body: CB) ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร กรมการข้าว กรมปศุสัตว์ และกรมประมง
15 EU Organic (European Union Organic) คือ ตราเกษตรอินทรีย์สหภาพยุโรป ผู้ผลิตไทยสามารถยื่นขอกับ ส านักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์
(มกท.) เพราะมาตรฐาน มทก. ผ่านการประเมินแล้วว่าเท่าเทียมกับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสหภาพยุโรป
112